รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น แบบจัดเต็ม!! ตอนที่ 1 สนามบินนาริตะ - เกียวโต - โอซาก้า
สวัสดีค่ะ เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเดอะแก๊งค์ วันนี้ก็เลยจะมารีวิวการเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpack ซึ่งการไปเที่ยวในครั้งนี้เรามีภารกิจที่จะต้องทำด้วยนะ!!!
ภารกิจที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่า
พอถึงสถานี Narita เราเลือกที่จะเดินไปโรงแรม แทนที่จะใช้ Shuttle Bus ของโรงแรม เพราะจะได้หาอะไรทานกันเป็นมื้อค่ำ ระหว่างทางก็ได้เจอกับห้าง AEON ติดกับ Max Valu
เราเลยแวะเข้าไปหาอะไรทานที่นั่น!!
แนะนำเลยค่ะ หากเจอ Super Market ไม่ว่าจะของแบรนด์ไหนในญี่ปุ่น ตอนดึกๆ ลองแวะเข้าไปดูอาจมีอาหารลดราคา มีของน่ากินราคาเบาๆเยอะมากเลยยยยยยยยยยยยยยย
เดินอีกนิดเดียวก็ถึงโรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้แล้วค่ะ เป็นโรงแรมที่คนนิยมพักเพราะอยู่ใกล้สนามบิน
เบาะที่นั่งภายใน NEX จะเป็นแบบ 2-2 ถ้าเรามีบัตร JR PASS ที่ซื้อไว้แล้วนำไป Reserve ที่นั่งไว้ได้เลยค่ะ จะได้มีที่นั่งที่แน่นอน
หลังจากลงจาก NE'X แล้ว เราก็มาต่อ Shinkansen เพื่อนไปลงสถานี Kyoto กันค่ะ บอกเลยว่าครั้งแรกจริงๆ สำหรับการนั่งชิงคันเซน คิดไว้ว่าถ้าว่าญี่ปุ่นต้องได้นั่งชิงคันเซนสักครั้งเอาไว้ไปโม้กับเพื่อน อิอิ
เมื่อถึงแล้วเราก็ไปฝากระเป็นไว้ที่ตู้ล็อคเกอร์ บอกแล้วว่าเรามาแบบ Backpack คือแบกกระเป็นเที่ยว แต่ด้วยขนาดสัมภาระมันหนักมากกกกกกกกก เราเลยต้องหาจุดฝากระเป๋ากันก่อนไปเที่ยวค่ะ
ขนาดของล็อคเกอน์มีหลายไซส์ค่ะ เราไปกัน 4 คน เป้คนละใบเลยเลือกขนาด 700 เยน มีที่เก็บเหลือเฟือ อ๋ออออ อย่าลืมเอาของที่จำเป็นออกมาด้วย เพราะล็อคเกอร์จะเปิดได้ครั้งเดียวเท่านั้น เช็คของกันดีๆนะคะ เดี๋ยวเสียเงินสองรอบไม่รู้ด้วยนะ!!!
ที่เที่ยวแห่งแรกของเราเป็นศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็นสถาที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเมืองเกียวโต จุดไฮไลท์คือมีเสาสีแดงเรียงต่อกันเป็นหมื่นต้น สำหรับค่าเข้าชม ฟรีค่ะ เปิดให้เยี่ยมชมตลอดเวลา หากท่านใดมีโอกาส แนะนำให้แวะไปดูความสวยงามและความศักดิ์สิทธ์ได้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้นะคะ
จากนั้นไปซื้อตั๋วรถบัสแบบ One Day Pass เพื่อไปเที่ยวรอบเมืองกันเลย เราจะเลือกเที่ยวเฉพาะฝั่งขวาของเกียวโต เพราะเวลาที่จำกัด ถ้ามีโอกาสรอบหน้าคงไปเก็บที่เที่ยวในเกียวโตให้หมด เพราะแต่ละที่น่าสนใจม๊ากมาก
วิธีจ่ายเงินง่ายมากกกกกกกกก ใครมีตั๋วก็เสียบลงไปตรงช่องด้านล่าง แล้วตั๋วก็จะผ่านขึ้นมาให้เราดึงช่องบนเหมือน BTS ไทยนั่นแหละ ส่วนใครไม่มีตั๋ว ให้เหรียญหยอดได้เลย
ที่เที่ยวแห่งที่สองคือวัดกินคะคุจิ หรือวัดเงินนั่นเอง บรรยากาศที่นี่เย็นสบายมากๆเลยค่ะ มีนักท่องเที่ยวแต่งชุดประจำชาติญี่ปุ่นต็มเมืองคิดว่าอยู่ในสมัยก่อนของญี่ปุ่นกันซะอีก ได้ฟิลไปอีกแบบค่ะ
จากนั้นเราไปต่อกันที่วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใสกันค่ะ ทางเข้าจะเต็มไปด้วยร้านขายของจนสุดทางถึงวัด เดินขึ้นเนินเพลินๆก็ไปถึงวันแล้ว แต่!! ข้างในจะปิดปรับปรุงอยู่ค่ะ เสียดายนิดหน่อย แต่ก็ยังได้เดินชมบรรยากาศหน้าวัด คนเยอะมาก ถือว่าเป็นสถานที่ฮิตของนักท่องเที่ยวเหมือนกันค่ะ ค่าเข้าชม 300 เยน เปิด 6:00 ปิด 18:00 น. ค่ะ
อันนี้ชอบมากเลย รู้สึกถึงความไฮเทคและความใส่ใจของญี่ปุ่น เพราะบนรถไฟมีปลั๊กไฟให้ใช้ด้วย
ด้วยความอยากลอง เลิกหยิบปลั๊กพ่วงที่พกมาด้วยมากชาร์ตอุปกรณ์ไอทีของเราจนแบตเต็ม เริ่ดค่ะ!!
เก็บของ เช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว ก็ออกไปหาข้าวเย็นและช็อปกันที่ย่านนัมบะ แล้วไปตามหาป้ายไฟกูลิโกะ ที่ใครไปถึงโอซาก้า เป็นต้องถ่ายรูปอัพลงโซเชียลกันเป็นแถว
ภารกิจที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่า
ตอนที่ 1 สนามบินนาริตะ - เกียวโต - โอซาก้า
วันแรก เดินทางจากดอนเมืองไปนาริตะ (ก่อนหน้านั้นเราได้ทำการ Booking โรงแรม และซื้อตั๋ว JRPass แบบ 7 วัน เรียบร้อยแล้ว) นั่งเครื่องประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินนาริตะแล้วค่าาาาาาาา
พอถึงสถานี Narita เราเลือกที่จะเดินไปโรงแรม แทนที่จะใช้ Shuttle Bus ของโรงแรม เพราะจะได้หาอะไรทานกันเป็นมื้อค่ำ ระหว่างทางก็ได้เจอกับห้าง AEON ติดกับ Max Valu
เราเลยแวะเข้าไปหาอะไรทานที่นั่น!!
แนะนำเลยค่ะ หากเจอ Super Market ไม่ว่าจะของแบรนด์ไหนในญี่ปุ่น ตอนดึกๆ ลองแวะเข้าไปดูอาจมีอาหารลดราคา มีของน่ากินราคาเบาๆเยอะมากเลยยยยยยยยยยยยยยย
เดินอีกนิดเดียวก็ถึงโรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้แล้วค่ะ เป็นโรงแรมที่คนนิยมพักเพราะอยู่ใกล้สนามบิน
เช้าสดใส วันที่สอง รีบตื่นมาเก็บของ ทานข้าวและเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม
เบาะที่นั่งภายใน NEX จะเป็นแบบ 2-2 ถ้าเรามีบัตร JR PASS ที่ซื้อไว้แล้วนำไป Reserve ที่นั่งไว้ได้เลยค่ะ จะได้มีที่นั่งที่แน่นอน
หลังจากลงจาก NE'X แล้ว เราก็มาต่อ Shinkansen เพื่อนไปลงสถานี Kyoto กันค่ะ บอกเลยว่าครั้งแรกจริงๆ สำหรับการนั่งชิงคันเซน คิดไว้ว่าถ้าว่าญี่ปุ่นต้องได้นั่งชิงคันเซนสักครั้งเอาไว้ไปโม้กับเพื่อน อิอิ
เมื่อถึงแล้วเราก็ไปฝากระเป็นไว้ที่ตู้ล็อคเกอร์ บอกแล้วว่าเรามาแบบ Backpack คือแบกกระเป็นเที่ยว แต่ด้วยขนาดสัมภาระมันหนักมากกกกกกกกก เราเลยต้องหาจุดฝากระเป๋ากันก่อนไปเที่ยวค่ะ
ขนาดของล็อคเกอน์มีหลายไซส์ค่ะ เราไปกัน 4 คน เป้คนละใบเลยเลือกขนาด 700 เยน มีที่เก็บเหลือเฟือ อ๋ออออ อย่าลืมเอาของที่จำเป็นออกมาด้วย เพราะล็อคเกอร์จะเปิดได้ครั้งเดียวเท่านั้น เช็คของกันดีๆนะคะ เดี๋ยวเสียเงินสองรอบไม่รู้ด้วยนะ!!!
ที่เที่ยวแห่งแรกของเราเป็นศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็นสถาที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเมืองเกียวโต จุดไฮไลท์คือมีเสาสีแดงเรียงต่อกันเป็นหมื่นต้น สำหรับค่าเข้าชม ฟรีค่ะ เปิดให้เยี่ยมชมตลอดเวลา หากท่านใดมีโอกาส แนะนำให้แวะไปดูความสวยงามและความศักดิ์สิทธ์ได้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้นะคะ
จากนั้นไปซื้อตั๋วรถบัสแบบ One Day Pass เพื่อไปเที่ยวรอบเมืองกันเลย เราจะเลือกเที่ยวเฉพาะฝั่งขวาของเกียวโต เพราะเวลาที่จำกัด ถ้ามีโอกาสรอบหน้าคงไปเก็บที่เที่ยวในเกียวโตให้หมด เพราะแต่ละที่น่าสนใจม๊ากมาก
วิธีจ่ายเงินง่ายมากกกกกกกกก ใครมีตั๋วก็เสียบลงไปตรงช่องด้านล่าง แล้วตั๋วก็จะผ่านขึ้นมาให้เราดึงช่องบนเหมือน BTS ไทยนั่นแหละ ส่วนใครไม่มีตั๋ว ให้เหรียญหยอดได้เลย
ที่เที่ยวแห่งที่สองคือวัดกินคะคุจิ หรือวัดเงินนั่นเอง บรรยากาศที่นี่เย็นสบายมากๆเลยค่ะ มีนักท่องเที่ยวแต่งชุดประจำชาติญี่ปุ่นต็มเมืองคิดว่าอยู่ในสมัยก่อนของญี่ปุ่นกันซะอีก ได้ฟิลไปอีกแบบค่ะ
จากนั้นเราไปต่อกันที่วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใสกันค่ะ ทางเข้าจะเต็มไปด้วยร้านขายของจนสุดทางถึงวัด เดินขึ้นเนินเพลินๆก็ไปถึงวันแล้ว แต่!! ข้างในจะปิดปรับปรุงอยู่ค่ะ เสียดายนิดหน่อย แต่ก็ยังได้เดินชมบรรยากาศหน้าวัด คนเยอะมาก ถือว่าเป็นสถานที่ฮิตของนักท่องเที่ยวเหมือนกันค่ะ ค่าเข้าชม 300 เยน เปิด 6:00 ปิด 18:00 น. ค่ะ
อันนี้ชอบมากเลย รู้สึกถึงความไฮเทคและความใส่ใจของญี่ปุ่น เพราะบนรถไฟมีปลั๊กไฟให้ใช้ด้วย
ด้วยความอยากลอง เลิกหยิบปลั๊กพ่วงที่พกมาด้วยมากชาร์ตอุปกรณ์ไอทีของเราจนแบตเต็ม เริ่ดค่ะ!!
เก็บของ เช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว ก็ออกไปหาข้าวเย็นและช็อปกันที่ย่านนัมบะ แล้วไปตามหาป้ายไฟกูลิโกะ ที่ใครไปถึงโอซาก้า เป็นต้องถ่ายรูปอัพลงโซเชียลกันเป็นแถว
ภารกิจวันนี้ก็สำเร็จแล้วค่ะ!!
ติดตามภารกิจของเราในวันถัดไปว่าจะสำเร็จไหม อย่าลืมติดตามกันนะคะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น